เรียนรู้และเข้าใจ โควิด19
เรียนรู้และเข้าใจ โควิด 19
เขียนโดย นายแพทย์มารุต เหล็กเพชร
สื่อสารเพื่อลดความกังวล แต่ให้ป้องกันเข้มข้น ลดอคติและการตีตราผู้คน
1 ไม่ติด (รู้วิธีที่จะไม่ติด และจะไม่แพร่) เราต้องรู้ตัวว่าวิธีที่ไม่ติดทำอย่างไร คือการป้องกันตัวเองแบบ universal precaution คือ ทำการป้องกันตัวเองจากผู้อื่นให้เหมือนกันกับทุกคนที่เราเจอ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนกลุ่มที่ถูกกักตัวอยู่ในที่พัก หรือบุคคลทั่วไปก็ตาม คือ เว้นระยะปลอดภัย ล้างมือทุกครั้งเมื่อสัมผัสพื้นผิวใดๆ ใส่หน้ากากเมื่อออกไปที่ชุมชน มีสองแนวคิดคือ ทุกคนที่เราเจอติดแล้วแต่ยังเป็นระยะที่ไม่มีอาการ เราจึงต้องป้องกันตัวเอง หรือ เราอาจจะติดแล้วแต่ยังไม่มีอาการ เราต้องป้องกันผู้อื่น และทั้งสองแนวคิดนี้ ท้ายที่สุดต้องทำเหมือนกันคือ
เว้นระยะปลอดภัย ล้างมือทุกครั้งเมื่อสัมผัสพื้นผิวใดๆ ใส่หน้ากากเมื่อออกไปที่ชุมชน
วิธีคิดนี้เหมือนกับการป้องกัน HIV คือใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธุ์กับทุกคนไม่ว่ากับใครที่จะเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง ดังนั้นเราจะไม่กลัวคนทุกคนที่เราพบเจอเกินพอดี ระวังการใช้คำพูดหรือท่าที ในเมื่อเราต้องป้องกันตัวเองด้วยวิธีที่เหมือนกันไม่ว่าเจอใครก็ตาม
ถ้าจะกลัวก็ต้องกลัวทุกคนแบบพอดีๆ และในทางกลับกันต้องกลัวเราไปแพร่ให้คนอื่นด้วย
-เราอยากรู้ว่าใครต้องกักตัวเพื่อจะได้ระวัง- อาจจะเป็นคำตอบของหลายคน อยากชวนคิดว่านาทีนี้อาจจะไม่ใช่คำตอบแล้วครับ จะมีหรือไม่มีใครที่เรารู้ว่าเสี่ยงอยู่ใกล้ๆ การระวังป้องกันตัวเองอย่างเข้มข้นเท่านั้นเราถึงจะรอดได้
ขณะนี้เราต้องการระยะห่างทางกาย แต่ต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวทางสังคม สำหรับคนที่ถูกกักตัว เพื่อสนับสนุนให้เขากักตัวเองให้ดีที่สุด ถ้ามีอะไรที่เราช่วยได้ นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ
อยากสื่อสารแบบนี้เพื่อสุขภาพทางใจของทุกท่านนะครับ
2 ไม่ตาย โรค COVID ไม่ใช่โรคคอขาดบาดตาย ผู้ติดเชื้อในประเทศไทยขณะนี้ส่วนใหญ่มีอาการน้อยหรือไม่รุนแรง แต่เราเห็นว่าผู้ป่วยทุกคนต้องอยู่โรงพยาบาลนั้นก็เพื่อการควบคุมโรคระบาด
ความกังวลที่มากเกินไป มีผลกระทบต่อจิตใจจนมันจะทำให้เราละเลยการโฟกัสสิ่งสำคัญๆที่เราต้องรับมือ เช่นการปกป้องกลุ่มเปราะบาง มันเป็นสิ่งที่น่ากังวลและเฝ้าระวังครับ แต่ต้องหาจุดที่พอดี ไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในบ้าน เมื่อคนอื่นอาจไม่ทำตามที่เราคาดหวัง
3 ไม่ตีตรา (ทุกคน) กระแสสังคมขณะนี้ เริ่มมีการตีตราเกิดขึ้น สิ่งนี้น่าเป็นห่วง การถูกตีตราเกิดขึ้นได้ผู้ต้องถูกกักตัว และตีตราผู้ป่วย จนใครที่เริ่มมีอาการไม่กล้ารับการตรวจ กลัวว่าสังคมรังเกียจ กลับเข้าชุมชนไม่ได้
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อได้จนถึงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นคนที่รักษาหายแล้วจะต้องกักตัวตัวเองต่อไปจนครบเวลาที่กำหนด เมื่อเขาหายแล้วเขาจะมีภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถแพร่เชื้อต่อไปได้ ถึงเวลานั้นเขาจะเป็นบุคคลที่มีคุณค่า พลาสม่าของเขาบางคนสามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้ สามารถกลับไปทำงานหรือทำประโยชน์ได้ ในขณะที่เราต้องจำกัดการเคลื่อนไหว
ขณะนี้สภากาชาดไทย ได้เชิญชวนอดีตผู้ป่วยให้ไปบริจาคพลาสม่า เขาคือคนที่มีค่ามาก
มีข่าวว่าบางชุมชนไม่ยอมให้ผู้ที่เคยติดเชื้อเข้าหมู่บ้าน เหมือนกับที่เคยมีอคติและหวาดกลัวผู้ป่วย HIVเหมือนเมื่อสามสิบปีก่อน
ผู้ที่เคยติดเชิ้อไม่ใช่คนที่ควรถูกเกลียดชังรังเกียจ เราเองในวันหนึ่งก็อาจจะติดเชื้อได้ คิดถึงใจเขาใจเรา
รู้วิธีที่จะไม่ติด รู้ว่าไม่ใช่โรคที่เป็นแล้วตายทุกคน ไม่ตีตราทุกคน
หวังว่าเราจะดูแลซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย เหลือต้นทุนทางสังคมไว้ฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
Relate topics
- "อบจ.สงขลาเชิงรุกสนับสนุนการคัดกรองสุขภาวะรายคนรองรับสังคมสูงวัยในชุมชนต้นแบบ 5 อปท."
- "ความร่วมมือแผนงานร่วมทุนจังหวัดสงขลา"
- ร่วมสร้างพัทลุงมหานครแห่งความสุข
- ประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนนโยบายรองรับสังคมสูงวัย ชูธง "สุราษฎร์ธานี อยู่เย็น เป็นสุข"
- Kick Off ความร่วมมือท้องถิ่น - สภาองค์กรชุมชนตำบล จ.นครศรีธรรมราช เพื่อจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพและคุณภาพชีวิต
- ความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนเครือข่ายตำบลสุขภาวะภายใต้โครงการร่วมสร้างเครือข่ายสุขภาวะชุมชนบนฐานอัตลักษณ์ชุมชนอย่างยั่งยืน (สสส.สำนัก3)
- เครื่องมือพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมสู่รูปธรรมระดับพื้นที่สู่การพัฒนา เติมเต็ม ต่อยอด และขยายผล
- เรียนรู้ร่วมกัน สู่ 9 ชุมชนรอบรู้สุขภาพภายใต้โครงการการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านอาหารและสุขภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
- เกษตรสงขลา "จัดกระบวนการเรียนรู้กิจกรรมส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหารระดับชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน"
- ก้าวต่อไปของ "ภูเก็ต : สุขภาวะเพื่อชีวิตแห่งอนาคต Phuket : health for Future of Life" และการพัฒนาแผน "มะรุ่ยแห่งความสุข"