เรื่องเล่าคนเลิกสูบบุหรี่

photo  , 312x471 pixel , 19,160 bytes.

เลิกสูบบุหรี่

เขียนโดย  สุพจ จริงจิตร

(1)  เหตุผลที่ผมเลิกสูบบุหรี่

ผมเริ่มสูบบุหรี่เล่น ๆ ไม่คิดจะเอาจริงเอาจัง ตอนอายุได้ 20 ปี ขณะเป็นนักเรียนโค่งชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หรือ ม.ศ.4 เมื่อปี 2520 หรือ 43 ปีมาแล้ว

เป็นนักเรียนชั้น ม.ศ.4 รุ่นแรกของ "โรงเรียนมัธยมวัดนิกรรังสฤษฎิ์" อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง อันเป็นโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา

เป็นการรวบรวมบรรดานักเรียนวัยรุ่นตกค้างอายุเลยเกณฑ์ ผนวกรวมกับนักเรียนผู้ตระเวนเข้าออกโรงเรียนในเมืองตรัง จนหาที่เรียนในจังหวัดนี้ไม่ได้อีกแล้ว

นำมาบวกรวมนั่งเรียนร่วมรุ่นกับน้อง ๆ นักเรียน ที่เล่าเรียนตามเกณฑ์มาเป็นลำดับ

ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นของเรา มีอายุสูงสุดเท่าไหร่ แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า น่าจะประมาณอายุ 25 ปีบวกลบ

อายุประมาณนี้ ไม่ได้มีคนเดียว ลองทบทวนดูแล้ว ก็น่าจะ 4 - 5 คนบวกไม่มีลบ

ผมอาศัยกินนอน และเรียนหนังสืออยู่ในวัดแห่งนี้ 2 ปีเต็ม ก็เรียนจบ ดั้นด้นเข้ากรุงเทพมหานคร สมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

สภาพเพื่อนฝูงที่มีที่มาหลากหลาย บวกกับเป็นหนุ่มเต็มวัย เราจึงชักชวนกันเสเพลกันแต่พองาม ไม่ถึงขั้นเสียผู้เสียคน

ด้วยสภาพดังที่เล่ามา จึงไม่แปลกที่ปีแรก พอเริ่มเรียน ม.ศ.4 ได้ไม่นาน ผมก็เริ่มหัดสูบบุหรี่ แรก ๆ คิดแค่เผาควันเล่น ๆ ด้วยความมั่นใจว่าจะไม่ติด

ช่วง 3 ปีแรก ของการสูบเล่น ๆ ผมไม่ติดบุหรี่จริง ๆ เสียด้วย

ผมติดบุหรี่จริงจัง ก็ตอนสูบเล่น ๆ เข้าปีที่ 4 ขณะเรียนรามฯ เป็นการติดชนิดเอาจริงเอาจัง และสูบจัดมวนต่อมวน รวมอายุการสูบบุหรี่นานร่วม 22 ปี

วันที่ 2 กันยายน 2542 เป็นวันที่ผมตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่

ตื่นขึ้นมาวันนั้น บุหรี่เหลือติดซองแค่มวนเดียว

เช้า 9 โมงกว่าของวันเลิกสูบบุหรี่ ผมชักก้นบุหรี่ที่สูบจนถึงก้นกรองออกจากปาก แล้วเขวี้ยงทิ้ง พร้อมกับขยำซองบุหรี่เปล่า ๆ ไม่เหลือบุหรี่อยู่ในนั้นแม้แต่มวนเดียว โยนลงถังขยะ

ยืนยันกับตัวเองว่า นับแต่นี้ต่อไป กูจะไม่กลับไปสูบบุหรี่จนชั่วชีวิต

นับจำนวนวันเวลาหักดิบเลิกบุหรี่ โดยไม่หันกลับไปสูดควันเข้าปอดอีกเลย จนถึงวันนี้ก็ 20 ปี 8 เดือน 29 วัน

เหตุผลที่เลิกสูบบุหรี่ ไม่ได้มาจากปัญหาสุขภาพ ไม่ได้มาจากคำร้องขอของใคร

มันเป็นเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง

"วันนั้น ผมขี้เกียจเดินออกไปซื้อบุหรี่ที่หน้าปากซอย"


(2)กูจะไม่เป็นทาสมึง

อ่านที่ผมเขียนเล่าเรื่องหักดิบเลิกสูบบุหรี่ หลายท่านที่ไม่เคยติดบุหรี่ อาจจะคิดว่าเลิกได้ง่าย ๆ แค่ไม่เอามือคีบบุหรี่ขึ้นยัดปากก็เลิกได้แล้ว

ข้อเท็จจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง

ผมตื่นขึ้นมาตอนสาย ๆ ของวันที่ 2 กันยายน 2542 คว้าหนังสือตรงหัวนอนมาเปิดอ่าน ใช้เวลากับกิจกรรมนี้นานเท่าไหร่ ผมก็ไม่แน่ใจ

จากนั้น ลุกขึ้นเสียบปลั๊กต้มน้ำร้อน แล้วกลับไปเอนหลังนอนกระดิกตีน หยิบหนังสือเล่มเดิมมาอ่านต่อ กะเวลาน้ำเดือดได้ที่แล้ว ถึงได้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง

ตักกาแฟสำเร็จรูปใส่ถ้วย กดน้ำร้อนตาม ใส่น้ำตาลเล็กน้อย ค่อย ๆ ใช้ช้อนกาแฟคนช้า ๆ ด้วยอากัปกริยาละเมียดละไม จมูกดมกลิ่นหอมของกาแฟ ที่โชยกลิ่นอบอวล

พลางหันไปคว้าซองบุหรี่ เตรียมควักมวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ซองบุหรี่ยุบยวบลงตามแรงมือขยับ

“เอ๊ะ บุหรี่หมดตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” คำถามผุดขึ้นในใจ พร้อมกับเอานิ้วชี้ข้างซ้าย ดันรอยฉีกตรงซองด้านบนให้ถ่างกว้างออกไปอีก

สายตาไล่มองเข้าไปในซองบุหรี่ พบว่าเหลือติดซองอยู่แค่มวนเดียว

นึกหงุดหงิดในใจว่า เดี๋ยวเสร็จภารกิจสูบบุหรี่แกล้มกาแฟถ้วยนี้แล้ว จะต้องรีบอาบน้ำออกไปซื้อบุหรี่ที่ปากซอย ตามประสาคนเสพบุหรี่มวนต่อมวนอีกหรือนี่

ผมทิ้งถ้วยกาแฟไว้ตรงหน้ากาต้มน้ำ ถือซองบุหรี่ พร้อมไฟแช๊ค เดินออกมานั่งยอง ๆ ตรงหน้าบ้านเช่าทาวเฮาส์หลังนั้น

เวลานั้น ผมขี้เกียจอาบน้ำ ขี้เกียจแต่งตัว ขี้เกียจเดินออกไปหน้าปากซอย ขี้เกียจและขี้เกียจ

ความต้องการของผมตอนนั้น อยากดื่มกาแฟแกล้มบุหรี่ แล้วเอนหลังนอนอ่านหนังสือให้สบายอารมณ์ต่างหาก

ผมชักบุหรี่มวนสุดท้ายขึ้นมาพินิจพิจารณา พร้อมกับนับวันเวลาสูดควันเข้าปอด โอ....มันนาน 22 ปี แล้วหรือนี่

คำถามผุดขึ้นในใจ ทำไมเราถึงยอมเป็นทาสไอ้มวนสีขาวเล็ก ๆ ได้นานถึงขนาดนี้

หนึ่งแวบความคิดผุดขึ้นมา เหมือนสายฟ้าแลบกลางสายฝนพรำ

“พอกันทีบุหรี่ กูจะเลิกสูบมึง”

ผมชักบุหรี่มวนสุดท้ายยัดปาก จุดไฟแช๊คจ่อมวนบุหรี่สูดควันเข้าปอดลึก ๆ

“นี่คือมวนสุดท้าย”

ผมให้สัญญากับตัวเอง จะหักดิบเลิกสูบเด็ดขาด นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผมสูดควันบุหรี่ ดึงนิโคตินเข้าปอดสุดแรงเป็นครั้งสุดท้าย แล้วยกมือดึงก้นบุหรี่ออกจากปาก เขวี้ยงก้นกรองออกจากตัวสุดแรงเหวี่ยง

ตามด้วยขยำซองบุหรี่ในมือเป็นก้อนกลม เดินออกไปทิ้งลงถังขยะหน้าบ้าน

“กูจะไม่เป็นทาสมึงอีกต่อไป”


(3)โคตรทรมาน

อ่าน 2 ตอนแรก ดูเหมือนปฏิบัติการเลิกสูบบุหรี่เป็นเรื่องง่าย ๆ ใช่มั้ยครับ ข้อเท็จจริงก็คือ มันไม่ง่ายอย่างที่คนไม่ติดบุหรี่ทั่วไปคิด

ตามอ่านงานเขียนชุดนี้ของผมให้จบ แล้วท่านจะรู้ว่าการเลิกบุหรี่ นอกจากจะไม่ง่ายแล้ว ยังเป็นปฏิบัติการโคตรทรมาน ทั้งร่างกายและจิตใจ

เป็นปฏิบัติการที่ต้องใช้กลยุทธ์กลวิธีที่หลากหลาย ใช้จิตใจที่มุ่งมั่น ใช้ความอดทนอย่างหนักเข้าต่อสู้

ผมเริ่มสูบบุหรี่เล่น ๆ จากสารพัดยี่ห้อ เพราะช่วงแรกเป็นระยะขอบุหรี่เพื่อนมาพ่นควันเล่น ใกล้คนไหน ใครสูบบุหรี่ยี่ห้อใด ก็สูบยี่ห้อนั้นแหละครับ

พอติดบุหรี่จริงจัง ผมเลือกเสพติดบุหรี่ของโรงงานยาสูบยี่ห้อ “กรุงทอง” ที่รสชาติเข้มข้นจนแสบคอ

สูบอยู่นานเกือบสิบปี ถึงได้เปลี่ยนมาสูบยี่ห้อ “กรองทิพย์” คราวนี้รสชาติค่อยเบาลงมาหน่อย

แจ้งให้ทราบก่อนว่า ผมเคยเลิกบุหรี่ยี่ห้อ “กรองทิพย์” ไม่สำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง

ตอนนั้นราว ๆ ปี 2536 ขณะเป็นหัวหน้าข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน

ข่าวการเมืองผู้จัดการรายวันยุคนั้น มี “โอ๋” วรพจน์ แสนประเสริฐ เป็นบรรณาธิการ “โอ๋” รั้งตำแหย่งบรรณาธิการข่าวรัฐกิจ พอปรับหน้ารัฐกิจ ให้เป็นหน้าข่าวการเมือง พร้อมกับยกทีมข่าวรัฐกิจมาทำข่าวการเมือง ตำแหน่งบรรณาธิการ ก็เลยติดตัว “โอ๋” มาด้วย

ทีมข่าวการเมืองผู้จัดการยุคนั้น มี “พี่คำนูณ สิทธิสมาน” ที่ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภาคุณภาพ เป็นบรรณาธิการอาวุโส กำกับดูแลข่าวการเมืองอีกชั้น

ผมเลิกบุหรี่เที่ยวนั้น โดยค่อย ๆ ลดจำนวนการสูบลง จนที่สุดก็ยุติการสูบลงได้สำเร็จ แต่หยุดสูบได้แค่ 2 เดือน ก็ทนกลิ่นบุหรี่ที่โชยอบอวล ทั้งในออฟฟิศ และนอกออฟฟิศ ในยุคสมัยสูบบุหรี่เสรีไม่ไหว ต้องหวนกลับมาสูบใหม่

วันที่ 2 กันยายน 2542 จึงเป็นการงดสูบบุหรี่รอบที่ 2 คราวนี้ผมเลือกใช้วิธีหักดิบ

การหักดิบวันแรกของผม ผ่านไปได้ไม่ยาก แค่ต้มน้ำร้อนทิ้งไว้เต็มกาทั้งวัน อยากบุหรี่ตอนไหน ก็ลุกขึ้นมาดื่มน้ำร้อนแทนตอนนั้น

แปลกการดื่มน้ำร้อน มันลดอาการเสี้ยนในวันแรกลงได้ในระดับที่น่าพอใจ

วันต่อ ๆ มาซิครับ ความเสี้ยนความอยากมันโคตรทรมานยิ่งขึ้น ตามจำนวนวันอดบุหรี่ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

ทั้งน้ำร้อน น้ำอุ่น น้ำในอุณหภูมิปกติ ไปจนถึงน้ำเย็น อยู่ใกล้น้ำอะไรก็ดื่มน้ำนั้นทันทีที่อยากละครับ

นับเป็นช่วงที่ผมดื่มน้ำมากที่สุดในชีวิต ทั้งที่ปกติผมเป็นคนดื่มน้ำในแต่ละวันน้อยมาก

จากตอนแรก ๆ การดื่มน้ำชะลออาการอยากลงไปได้พอสมควร นานวันเข้าน้ำกี่แก้วกี่ขันก็ชักจะเอาไม่อยู่

อดบุหรี่ได้สัก 4 - 5 วัน ทำท่าจะสู้ไม่ได้ ผมใช้วิธีการใหม่ “หลอกความอยาก” ของตัวเอง

เวลาอยากบุหรี่มากขึ้น ๆ จนชักจะทนไม่ไหว ผมจะบอกกับตัวเองว่า

“ทนอีกนิด ทนอีกสัก 5 นาที ถ้าทนไม่ไหว ไม่เป็นไรกลับมาสูบใหม่ก็ได้” ข้อความหลอกความอยากแบบนี้ อาจจะไม่เหมือนกันทุกครั้ง แต่ก็ใกล้เคียงประมาณนี้ทุกคราวไป

เชื่อหรือไม่ว่า ร่างกายเราเขาเชื่อ และพร้อมจะรอต่ออีก 5 นาที ครบ 5 นาที ผมก็ต่อรองกับความอยากของตัวเอง ด้วยการขอต่อเวลาต่อไปอีกเรื่อย ๆ จนความอยากในแต่ละช่วงสงบลง

ช่วงนี้ ผมยังคงดื่มน้ำอย่างหนัก พร้อม ๆ กับให้ความหวังและต่อรองกับความอยากสูบบุหรี่ โดยดึงความอึดความอดทนออกมาสู้สุดใจขาดดิ้น

พอหลอกไปได้สักพัก ความสงบของความอยากในแต่ละช่วง เริ่มสั้นลงเรื่อย ๆ ความอยากชักจะกลับมาหาถี่ขึ้นทุกที

อาการที่ผมประสบในยามนั้นก็คือ กระสับกระส่าย กระวนกระวาย นอนไม่ค่อยหลับ มึน ๆ งง ๆ ตลอดวัน

ตอนยังสูบบุหรี่ พอมีอาการมึน ๆ คิดอะไรไม่ออก อัดบุหรี่สักปื๊ดสองปื๊ด สมองจะโปร่ง คิดอะไรคล่องปรื๊ด

ช่วงอดบุหรี่นี่ กระทั่งกาแฟก็ช่วยแก้อาการมึน ๆ งง ๆ ง่วง ๆ ไม่ได้เลย

ช่วงแรกนี้เสลดจะออกมามากเป็นพิเศษ มันถูกร่างกายผลิตติดอยู่ในลำคอตลอดเวลา ผมต้องคอยขากถุยถ่มทิ้งอยู่เป็นระยะ

อาการเสลดพันคอ มันมาพร้อมกับเนื้อตัวเหม็นเขียว ด้วยกลิ่นบุหรี่ ชนิดเจ้าตัวผู้ผลิตกลิ่นยังทนแทบไม่ได้

ยิ่งตอนไหนเหงื่อไหลไคลย้อย กลิ่นเหม็นเขียวของบุหรี่ก็ยิ่งโชยคละคลุ้ง ติดเสื้อผ้า ติดทุกสิ่ง ติดทุกอย่าง ที่เราเอาตัวไปสัมผัส

กลิ่นบุหรี่ตามติดตัวผมอยู่นานมาก กว่าจะค่อย ๆ จางหายไป พร้อมกับอาการอยากที่มาเยี่ยมเยือนห่างออกไปเรื่อย ๆ จนหายไปพร้อมกับกลิ่นเหม็นเขียวติดตัว โดยไม่กลับมาเยี่ยมเยียนผมอีกเลยจนถึงบัดนี้

เป็นช่วงเวลาที่ผมซาบซึ้งในความรัก ที่คนใกล้ตัวมอบให้กับผมเป็นอย่างมาก

จะไม่ให้ซาบซึ้งได้ไงครับ เธอทนนอนกอดชายกลิ่นเหม็นชวนอ้วกอยู่ได้ ตั้งเกือบ 20 ปี


(4)ลาก่อนฝันร้าย

ขั้นตอนเลิกสูบบุหรี่ของผม เริ่มจากดื่มน้ำร้อน ผ่อนคลายความเสี้ยน

เวลาอยากมาก ๆ ดื่มน้ำอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นน้ำร้อน น้ำอุ่น น้ำอุณหภูมิปกติ น้ำเย็น ไปจนถึงน้ำเย็นจัด

เมื่อน้ำเอาไม่อยู่ ผมก็เริ่มมาตรการใหม่เป็นปฏิบัติการมันส์สุด ในกระบวนการเลิกสูบบุหรี่ถาวรของผม

นั่นคือ ปฏิบัติการ “หลอกความอยาก” เพราะมันเป็นปฏิบัติการเล่นเอาเถิดล่อหลอกต่อรองกับความอยากของตัวเอง เพื่อเอาชนะตัวเอง

เป็นปฏิบัติการที่ผมทำควบคู่กันไปกับการดื่มน้ำอย่างหนัก

ถึงกระนั้นก็ไม่อาจกำจัดความอยากออกไปให้พ้นตัวได้ ความอยากที่เคยรอว่า อีก 5 นาที ถ้าทนไม่ไหวจะกลับมาสูบใหม่ แล้วต่อรองให้รอต่อไปอีกเรื่อย ๆ จนความอยากค่อย ๆ จางไป ยินยอมที่จะเว้นระยะกลับมาอยากใหม่ โดยทิ้งเวลาห่างพอสมควร

นานเข้าระยะเวลาทิ้งช่วง กลับหดแคบเข้าทุกที

ผมไม่ยอมสิ้นหวัง คงพยายามดิ้นรนหากลวิธีใหม่ ๆ ขึ้นมาต่อสู้กับ “ความอยาก” แล้วผมก็พบกับวิธีการใหม่โดยบังเอิญ

วันหนึ่งในวงล้อมเพื่อนฝูงกลุ่มสิงห์อมควัน ในยุคสมัย “สูบบุหรี่เสรี”

กลิ่นและควันบุหรี่คละคลุ้งลอยเข้าจมูกผมรอบทิศทาง ทั้งจากด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้างทั้ง 2 ฝั่งซ้ายขวา

ความอยากบุหรี่ของผม พุ่งขึ้นสู่กระแสสูง

“กูจะไม่กลับไปสูบอีกแล้ว”

เสียงกระซิบจากส่วนลึกของจิตสำนึก เตือนตัวเองอยู่เป็นระยะ

ทว่า ในเสี้ยววินาทีที่เผลอ ผมยื่นมือไปหยิบซองบุหรี่ของเพื่อน ควักออกมาถืออยู่ในมือหนึ่งมวน ขณะที่อีกหนึ่งเสียงของจิตสำนึก ร้องห้ามเสียงหลง

“อย่ากลับไปสูบอีกนะ”

ผมยกบุหรี่มวนนั้นขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก สูดกลิ่นบุหรี่มวนเล็ก ๆ สีขาวมวนนั้นเต็มแรง

อาการอยากบุหรี่เพลาลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเอาบุหรี่มวนเดิม วางเหนือริมฝีปากบน หมุนไปมาตรงจมูก เพื่อให้ดมกลิ่นได้ถนัดถนี่ขึ้น ไม่นานก็วางลง เมื่ออาการอยากบุหรี่จางหายไป

นับจากนั้นอีกหลายเดือน ใครต่อใครมักจะเห็นผมนั่งดมนอนดมบุหรี่ อยู่ในดงสิงห์อมควัน

ผมเรียกปฏิบัติการนี้ว่า “สูบแห้ง”

ขณะผมดมบุหรี่ รับความหอมแห้ง ๆ ของกลิ่นบุหรีไร้ควัน เพื่อแก้อาการเสี้ยนอยู่นั้น

อาการเหม็นควันบุหรี่ ที่ผมไม่ได้เหม็นอะไรมากมาย จนถึงขนาดทนไม่ได้ ก็ตามหลังอาการเหม็นกลิ่นบุหรี่ จากเหงื่อ เนื้อตัว เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ ที่ผมทนแทบไม่ไหวมาติด ๆ

ในยามที่ไม่ได้อยู่ในวงล้อมของควันบุหรี่ ผมยังคงดื่มน้ำอย่างหนัก อยากขึ้นมาก็ยังคงหลอกความอยาก ซื้อเวลาไปเรื่อย ๆ

6 เดือนผ่านไป อาการอยากค่อย ๆ หายไป มีบ้างนาน ๆ ที ที่นึกอยากสูบขึ้นมาบ้าง แต่มันมาเยือนแค่แวบเดียวก็หายไป ไม่ต้องอาศัย “สูบแห้ง” เข้าช่วยอีกแล้ว

หมดสิ้นอาการกระวนกระวายกระสับกระส่ายโคตรทรมานโดยสิ้นเชิง

ผมเรียกช่วงนี้ว่า “เข้าสู่แดนปลอดภัย” มั่นใจได้ว่า เลิกสูบได้แน่นอน

มันเป็นช่วงที่ความสุขมาเยือน กินอะไรก็อร่อยไปหมด พูดได้ว่าเป็นห้วงเวลากินอิ่มนอนหลับ น้ำหนักขึ้น หน้าตากลับมาสดชื่นแจ่มใส มีน้ำมีนวล หายใจคล่องคอปราศจากเสลดรบกวน

มันเป็นเวลาแห่ง “ชัยชนะอันยิ่งใหญ่”

มันเป็นเวลาที่ “ความมั่นใจในตัวเอง” เพิ่มขึ้นเกินร้อย ไม่มีอะไรในโลกนี้ ที่ต้องหวั่นกลัวอีกแล้ว

ด้วยมันสามารถพิสูจน์จนประจักษ์แล้วว่า ขนาดหัวใจของตัวเอง ที่นำพาร่างกายฝ่าฟันนาทีวิกฤติจากความอยากมาได้ ครั้งแล้วครั้งเล่านั้น ยิ่งใหญ่ปานใด

ใช่ มันต้องใช้หัวใจที่เข้มแข็งปานเพชรเข้าต่อสู้จริง ๆ

ผ่านไป 1 ปี อาการอยากที่นาน ๆ ทีมาเยือน หายเป็นปลิดทิ้ง นั่งอยู่ในวงสิงห์อมควันก็ไม่รู้สึกอยาก ถึงแม้จะเหม็นควันบุหรี่อยู่บ้าง แต่ก็อยู่ในขั้นทนได้ ไม่ถึงขั้นต้องตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์เพื่อนฝูง

เลิกได้ 2 ปี เกิดอาการแปลก ๆ ฝันอยู่หลายครั้งว่าหวนกลับไปสูบบุหรี่อีกแล้ว

ในความฝันเสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ก่นด่าตัวเองอย่างหนัก

พอตื่นขึ้นมารู้ตัวว่า กลับไปสูบบุหรี่ในฝัน ก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจทุกครั้งไป แล้วอาการฝันร้ายก็หายไปในเวลาไม่นาน

ถึงวันนี้ ปฏิบัติการเลิกสูบบุหรี่นับแต่วันเริ่มต้น ผ่านไปแล้ว 20 ปี 9 เดือน 1 วัน ผมไม่เคยหันหลังกลับไปสูบมันอีกเลย

ลาก่อนฝันร้าย  ลาก่อนบุหรี่

“เราจะไม่เจอกันอีกต่อไป”

Relate topics